สำหรับ “ความรักและความทรงจำ” ที่นำเอามาแต่งเติม

เมื่อสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา
"แม่" เคยถูกอบรมสั่งสอน
จากคุณยาย คุณตา ว่า

"ความมีน้ำใจไทยเป็นหนึ่ง
ความอ่อนหวานตราตรึงผู้พบเห็น
ครอบครัวไทยอบอุ่นและร่มเย็น
ความกตัญญูนั้นเป็นดุจโซ่ทอง
เด็กเคารพผู้ใหญ่ตามวัยวุฒิ
มีเมตตาเพื่อนมนุษย์กันทั้งผอง
รักสงบรักธรรมชาติ ถิ่นขวานทอง
รักเป็นไท ตามครรลองเสรีธรรม"

และ
คุณยาย คุณตา ก็สั่งสอนแม่นะว่า
ในเรื่องของคนนั้น
"อย่าเชื่อใจคนง่ายๆจนเกินไป"
ให้จำบทกลอนของท่านสุนทรภู่
ที่ว่า
"แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน"
"แม่" จำคำสั่งสอนของคุณตา คุณยายได้
มีหลายสิ่งหลายอย่างมาก ที่ท่านสอน
เช่น ในเวลาพูดจาสอนว่า "การพูดสำคัญที่สุด"
 ท่านให้จำคำสุนทรภู่ว่า
"เป็นมานุษย์สุดนิยมที่ลมปาก
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้พูดดีมีคนเขาเมตตา
จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ"

บทกลอนเหล่าวนี้
"แม่" เห็นคุณตา คุณยาย ก็สอนลูก
ยามเยาว์วัย "แม่" ภูมิใจเสมอที่ลูกจดจำไปใช้
ยามวัยรุ่น และ ผู้ใหญ่ตอนต้น ทำไมหนอ
"แม่" ไม่ค่อยเห็นลูกนำมาใช้ในชีวิตจริง

ลูกอันเป็นที่รักยิ่ง
"แม่" อยากให้ลูกมองให้ลึกลงไปในกระจก
ที่ "แม่" เห็นลูก หันซ้าย หันขวา ดูหน้าตาตัว

"ในเงา…บอกเราหลายสิ่ง
ว่าแท้ ที่จริง เป็นไฉน
มีเงา ก็เหมือน มีเพื่อนใจ
บอกให้ รู้ซึ้ง ถึงตัวเอง"

ภายนอกอาจดูงาม น่ารัก
แต่ "สิ่งที่แท้จริงภายในตัวเรา"
เราย่อมรู้ตัวของเราเองนะ

"แม่" อยากบอกลูกว่า
ในโลกนี้ มีการลงทุนอย่างหนึ่งที่ไม่ขาดทุน
นั่นคือ
"การลงทุนทำความดี"
"Goodness is the only investment that
never fails"
ให้แปลอีกครั้งก็คือ
"การลงทุนที่ไม่เคยขาดทุน คือ การลงทุนทำความดี"

อย่าเพิ่งลืมสิ่งที่พ่อ แม่ ตา ยาย สอนเลย
ทำ และ ชักชวนเพื่อนๆทำำความดีกันเถอะ
"ฟลอเรนซ์ ไนตินเกล" ผู้ช่วยคนบาดเจ็บ
ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กล่าวว่า
"I am a little woman.
What I can do is very little.
If all of us join hands together,
what a voluminous output
society would gain."
"ดิฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง
ทำอะไรก็ได้เล็กน้อย
แต่ถ้าหากเราทุกคนจับมือกัน
ร่วมใจกัน
สังคมจะได้รับผลลัพธ์อันมหาศาล"

ขอให้รักษาความดีงามที่มีอยู่ในตัว
แม้เพียงเล็กน้อย
ชักชวนเพื่อนๆทำความดีนั้น
"แม่" เชื่อว่าสังคมของลูกจะดีขึ้น

"แม่"อ่านประวัติบุคคลที่ทำความดีให้โลก
เช่น
หลุย ปาสเตอร์ และ น.พ. อัลเบิร์ด ชไวช์เชอร์
และจับใจความได้ว่า
ถ้าเราทุกคนไขว่คว้าศึกษาหาวิธีที่จะทำให้
คนอื่นมีความสุข นั่นแหละ…จะนำ
"ความสุข" มาให้แก่ตัวเราเอง

ลูกรัก
"ชีวิตผาสุก  เพราะทุกคนมี
สุขภาพกายดี  ปราศจากโรคภัย
มีการสังคม  เหมาะสมกับวัย
มีจิตเลื่อมใส  ในศาสนา
อาชีพสุจริต  เศรษฐกิจมั่นคง
ชุมชนประสงค์  ช่วยกิจประชา
พักผ่อนร่าเริง  บันเทิงกีฬา
ครอบครัวหรรษา รักใคร่ปรองดอง"

"แม่" รู้ว่า แม้เรามีความทุกข์
จนอาจถึงทางตัน
ขอให้ลูกคิดเหมือนแม่ว่า
ทุกคนเกิดมาย่อมมีอุปสรรค
แต่เราสามารถแก้ไขได้
ด้วยการเปลี่ยนลิ้นชักทำงาน ดังที่ว่า

"ชีวิตประจำวัน ล้วนปัญหา
มีปัญญาไว้คิดวินิจฉัย
มีสติรั้ง ระวังภัย
มีขันติอดทนไว้ ไม่เดือดร้อน"

สุนทรภู่ท่านสอนว่า
"เกิดมาเป็นมนุษย์ปุถุชน
ความทุกข์มิได้พ้นจนสักหน้า
สุดแท้แต่กรรมที่ทำมา
ถึงเวลาสิ้นสุข  ก็ทุกข์ไป
ถ้าถึงคราวพ้นเข็ญที่เป็นทุกข์
ก็กลับมีความสุขสืบไปใหม่
เป็นธรรมดามาฉะนี้แต่ไรไร
จะหวาดหวั่นพรั่นใจ ไม่ต้องการ"

พ่อกับแม่ดูแลลูกจนเป็นผู้ใหญ่
บ้านเราใช้"ระบอบประชาธิปไตย"ไม่ใช่หรือลูก

ถ้าวันนี้ พ่อกับแม่ ดูเหมือน
"จ่าฝูงที่นำทางลูกเดินผิด"
เราก็ขอโทษ เราก็ขออภัยจากลูกทั้งสาม

ดั่งพระราชนิพนธ์ของพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่หก ที่ว่า
"ยามฝูงโคข้ามน้ำ  นที
โคกโจกนำตรงดี  ไป่เลี้ยว
ปวงโคอื่นตามรี่  รุดหน้า
ทั้งหมดไป่ลดเลี้ยว  ไต่เต้า  ตามกัน
อันสุภาษิตนี้  เตือนใจ
แห่งผู้ที่เป็นใหญ่  ยิ่งผู้
มีหน้าที่นำใคร  ใครนั่น ก็ดี
จึงจะต้องรอบรู้  จักแท้  ทางตรง"

พ่อกับแม่พยายามเดินทางที่ตรงที่สุด
ช้าที่สุด
เพื่อจะได้สั่งสอนลูกให้ถูกทางที่สุดแล้ว

ยิ้ม คุณค่าของมนุษย์ ยิ้ม
พ่อกับแม่เห็นว่า
………
"อันมนุษย์สุดดีอยู่ที่จิต
รู้จักคิดรู้จักอาย ไม่สับสน
มีสติคอยคิดบังคับยับยั้งตน
ทำให้คนประเสริฐเลิศสัตว์ใด
ถ้าแม้ขาดมนุษยธรรมประจำจิต
คนจะผิดกับสัตว์ คิดไฉน
ถึงรูปสวยรวยวิชาอย่าไว้ใจ
อาจก่อภัยพินาศสุดคาดเอย

รักและให้อภัยลูกเสมอ
พ่อและแม่

ข้อความนี้ถูกเขียนใน หนังสือ คั่นหน้า ลิงก์ถาวร

ใส่ความเห็น